ความเป็นมา
สืบเนื่องจากที่ประชุมคณบดีวิทยาศาสตร์เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้อย่างเหมาะสม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพ และอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถที่จะถ่ายทอดความรู้และกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียน และนิสิตนักศึกษา ดังนั้นในปี พ.ศ. 2544 ที่ประชุมคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จึงร่วมกันจัดตั้งโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ (ทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ระยะที่ 1 ปี 2544-2551) เพื่อจัดสรรทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรีให้กับผู้ที่ศึกษาในหลักสูตรวิทยาศาสตร์ เมื่อนิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่ที่จบในโครงการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก ที่ประชุมคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอดำเนินโครงการต่อในระยะที่ 2 (ปีการศึกษา 2551-2562) ซึ่งได้รับการอนุมัติในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2550 โดยให้ทุนศึกษาในหลักสูตรวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-โท-เอก แก่ผู้มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จำนวน 4 รุ่น รุ่นละ 200 ทุน รวม 800 ทุน และให้ทุนแก่ผู้ที่ศึกษาในหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาโทและเอกในสาขาที่โครงการกำหนด อีก 4 รุ่น รวม 800 ทุน โดยมีเป้าหมายสร้างกำลังคนระดับปริญญาเอกเพื่อปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,600 คน โดยเริ่มให้ทุนตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 เป็นต้นไป
ทั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้มอบหมายให้คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นศูนย์ภาคกลาง ในการดำเนินการรับนิสิตนักศึกษา เพื่อเข้าศึกษาในสถาบันต่าง ๆ
สาขาวิชาที่จะให้ศึกษา
สาขาในระดับปริญญาโทและเอกที่จะให้ศึกษาต่อโดยได้รับทุนได้นั้น จะจัดลำดับความสำคัญตามความขาดแคลนของสถาบันอุดมศึกษาในสภาวการณ์ที่เป็นจริง หากผู้สำเร็จปริญญาตรีเลือกเรียนต่อในสาขาที่ยังไม่เป็นที่ต้องการและ/หรือไม่สามารถหาอัตราบรรจุให้ได้ อาจไม่ได้รับทุนในระดับปริญญาโทและเอก หรือต้องเลือกสาขาอื่นที่เป็นที่ต้องการแทน ทั้งนี้ให้ขึ้นกับดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ
ทุนการศึกษา
ปริญญาตรี
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว(ต่อปี) 60,000 บาท
- ค่าหนังสืออ่านประกอบ 5,000 บาท
ปริญญาโท
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว(ต่อปี) 86,400 บาท
- ค่าหนังสืออ่านประกอบ 10,000 บาท
- ค่าอุปกรณ์การศึกษา(คอมพิวเตอร์) 18,000 บาท
- ค่าสืบค้นวารสาร 10,000 บาท
ปริญญาเอก
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัว(ต่อปี) 100,560 บาท
- ค่าหนังสืออ่านประกอบ 10,000 บาท
- ค่าอุปกรณ์การศึกษา(คอมพิวเตอร์) 18,000 บาท
- ค่าสืบค้นวารสาร 10,000 บาท
เงื่อนไขและข้อผูกพัน
ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาในโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ (ทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย) จะต้องทำสัญญากับสถาบันที่สังกัด และปฏิบัติตามเงื่อนไขหลักต่อไปนี้ เงื่อนไขการศึกษา ระดับปริญญาตรี ในระหว่างการรับทุนระดับปริญญาตรี จะต้องมีผลการศึกษา ดังนี้
ชั้นปีที่ 1 » มีเกรดเฉลี่ยสะสมทั้งปี (GPAX) ต้องไม่ต่ำกว่า 2.75 (ไม่นับรวมผลการเรียนภาคฤดูร้อน) กรณีที่ได้คะแนนเฉลี่ยสะสม (GPAX) อยู่ระหว่าง 2.50-2.74 จะอยู่ในเกณฑ์รอพินิจ ซึ่งหากในปีการศึกษาถัดไปไม่สามารถแก้ไขได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด จะหมดสิทธิ์ได้รับทุน แต่ยังคงศึกษาในคณะวิทยาศาสตร์ได้จนจบหลักสูตร
ชั้นปีที่ 2-4 » มีเกรดเฉลี่ยสะสม (GPAX) เมื่อสิ้นปีการศึกษาไม่ต่ำกว่า 3.00. ถ้ามีเกรดเฉลี่ยสะสม (GPAX) อยู่ระหว่าง 2.75 - 2.99 ให้อยู่ในสภาพรอพินิจ นักศึกษาจะอยู่ในเกณฑ์รอพินิจ ได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากอยู่ในสภาพรอพินิจเป็นครั้งที่ 2 จะหมดสิทธิ์ได้รับทุนของโครงการฯ ส่วนจะต้องชดใช้ทุนหรือไม่นั้นขึ้นกับดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ ทุกชั้นปี ไม่ลงทะเบียนเรียนซ้ำในรายวิชาใด ๆ ยกเว้นในรายวิชาที่ถอน (W) และไม่มีผลการศึกษาในรายวิชาบังคับใด ๆ เป็น F
หมายเหตุ ขณะที่อยู่ในสภาพรอพินิจจะถูกระงับทุนชั่วคราว หากภาคการศึกษาถัดไปมีผลการศึกษาเป็นไปตามเกณฑ์จะได้รับทุนในช่วงที่ถูกพักทุนและได้รับทุน ต่อเนื่องตามเดิม
ระดับปริญญาโท-เอก ในระหว่างการรับทุนระดับปริญญาโท โทควบเอก หรือปริญญาเอก จะต้องมีผลการศึกษาตามเกณฑ์ดังนี้
สำหรับปริญญาโทแผน ก แบบ ก.2 (เรียนรายวิชาประจำหลักสูตรไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต และทำวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 12 หน่วย) หรือปริญญาเอกแบบ 2.1 และ 2.2 จะต้องมีคะแนนเฉลี่ยสะสม (GPAX) เมื่อสิ้นปีการศึกษา ต้องไม่ต่ำกว่า 3.25 (ไม่รวมผลการเรียนภาคฤดูร้อน) กรณีที่ได้คะแนนเฉลี่ยสะสม (GPAX) เมื่อสิ้นปีการศึกษาระหว่าง 3.00 - 3.24 หรือไม่รายงานความก้าวหน้าในการทำวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ตามระยะเวลาที่กำหนดของภาคการศึกษานั้น จะอยู่ในเกณฑ์รอพินิจ ซึ่งจะถูกพักทุน ถ้าเกรดเฉลี่ยสะสมในภาคการศึกษาถัดไปได้ไม่ต่ำกว่า 3.25 จะคงสภาพทุนและรับทุนต่อไป แต่ถ้าหากต่ำกว่า 3.25 จะพ้นสภาพทุน แต่ยังคงศึกษาได้จนจบหลักสูตร ทั้งนี้ในระหว่างการเรียนตลอดหลักสูตร จะต้องไม่ลงทะเบียนเรียนซ้ำในรายวิชาใดๆ (ยกเว้นวิชาสัมมนา วิทยานิพนธ์ และ/หรือที่คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ เห็นชอบ) สำหรับปริญญาเอกแบบ 1.1 และ 1.2 ที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานวิจัยภายในภาคการศึกษาแรก และ/หรือคณะกรรมการพิจารณาผลงานเห็นว่าการทำวิจัยยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรจะอยู่ในสภาพรอพินิจ และหากในภาคการศึกษาถัดไปยังไม่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น จะหมดสิทธิ์การรับทุน ทั้งนี้จะต้องส่งรายงานความก้าวหน้าของผลงานวิจัยของทุกภาคการศึกษาตามเวลาที่กำหนด
นิสิตนักศึกษาจะอยู่ในเกณฑ์รอพินิจ ได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น การมีผลอยู่ในเกณฑ์รอพินิจครั้งที่ 2 จะหมดสิทธิ์ได้รับทุนของโครงการฯ ส่วนจะต้องชดใช้ทุนหรือไม่นั้นขึ้นกับดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ
การทำวิทยานิพนธ์ : ผู้รับทุนจะต้องรายงานผลการสอบเค้าโครงร่างวิทยานิพนธ์ และรายงานความก้าวหน้าในการทำวิทยานิพนธ์เป็นประจำทุกภาคการศึกษาภายในเวลาที่กำหนด และแจ้งกำหนดการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ให้โครงการได้รับทราบล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 2 เดือน
เงื่อนไขอื่น
- ในระหว่างรับทุนของโครงการฯ ในทุกระดับการศึกษา จะต้องไม่สมัครหรือรับทุนการศึกษาจากโครงการอื่นใด หากต้องการสมัครรับทุนอื่นจะต้องลาออกจากโครงการ และชดใช้เงินทุนเป็นจำนวน 2 เท่าของที่ได้รับไปตามที่ระบุในสัญญา ยกเว้นการสมัครขอทุนวิจัยซึ่งต้องแจ้งให้ทราบเมื่อได้รับทุนวิจัยแล้ว หรือการสมัครรับทุนไปศึกษาระดับปริญญาเอกในต่างประเทศที่ไม่มีข้อผูกพัน กรณีนี้จะต้องให้ยื่นเรื่องเสนอให้คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในสาขาและสถาบันที่สมัครก่อนไม่น้อยกว่า 1 หรือ 2 เดือน ก่อนปิดรับสมัคร และเมื่อเห็นชอบจึงจะให้พักทุน และไปรับทุนต่างประเทศได้โดยเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วให้กลับมาปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเป็นระยะเวลา 1 เท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนจากโครงการทุนเรียนดีฯ ในระดับปริญญาโทและเอก
- ต้องเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตร และกิจกรรมพิเศษที่โครงการฯ คณะฯ หรือมหาวิทยาลัย จัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้นหากไม่มีเหตุอันควร ผู้ที่หลีกเลี่ยงและละเลย จะถูกตัดสิทธิ์ที่พึงได้รับจากโครงการหรือถูกตัดทุนฯ
- ผู้ที่ลาออกจากโครงการฯ ก่อนสำเร็จการศึกษา หรือทำผิดสัญญาอันเป็นเหตุให้ออกจากโครงการฯ จะต้องชดใช้เงินคืนต้นสังกัดเป็นเงิน 2 เท่า ของจำนวนเงินที่โครงการฯ จ่ายไป การพ้นสภาพทุนหรือออกจากโครงการฯ โดยมิต้องชดใช้ทุนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ
- ผู้รับทุนจะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่โครงการฯ กำหนด หรือที่จะกำหนดต่อไปในภายหลัง หากมิได้มีเกณฑ์ใดกำหนดไว้ให้คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ เป็นผู้พิจารณาและตัดสิน